การเลื่อนขั้นพนักงาน ควรมีคุณสมบัติอย่างไรบ้างถึงเลื่อนขั้นเร็ว

การเลื่อนขั้นพนักงาน ควรมีคุณสมบัติอย่างไร การได้เลื่อนตำแหน่งงานนั้น นอกจากเราจะต้องเป็นคนที่มีความสามารถ มีทักษะในการทำงานที่ดีแล้ว การรู้จักทำงานเป็นทีมก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญในการเลื่อนตตำแหน่งงานอีกด้วย ดังนั้นเราจึงจำเป็นที่จะต้องพิสูจน์ตนเองให้หัวหน้าได้เห็นถึงเป้าหมายที่เราต้องการและมีความมุ่งมั่นในหน้าที่การงานทำให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

1. ตั้งเป้าหมายในการทำงาน
ก่อนเริ่มต้นในการทำงาน ให้เราลองเข้าไปพูดคุยกับเจ้านายของเราเสียก่อนเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับเป้าหมายในการทำงานหรือเป้าหมายของอาชีพนี้ว่าเรามีการวางแผนไว้อย่างไรบ้าง โดยเราอาจจะวางแผนว่าใน 6 เดือนข้างหน้าหรือในอีก 1 ปีข้างหน้าอาชีพที่เราทำอยู่นั้น ได้มีการดำเนินไปตามแผนที่เราตั้งใจไว้เหรือเปล่า

ทั้งนี้ในการทำงานและประสบความสำเร็จในเป้าหมายที่วางเอาไว้นอกจากเราจะต้องมีทักษะความสามารถที่พร้อมแล้วนั้น เจ้านายก็เป็นอีกหนึ่งคนสำคัญที่จะทำให้เราบรรลุเป้าหมายเหมือนกัน ดังนั้นเจ้านายที่ดีควรที่จะให้โอกาสในการทำงานกับเรา พร้อมทั้งสนับสนุนให้เราได้เติบโตในหน้าที่การงานตามเป้าหมาย

7 ทักษะของมนุษย์เงินเดือน ที่จะช่วยทำให้เราได้เลื่อนตำแหน่งานได้

 

2. รู้จักการทำงานเป็นทีม
จงจำเอาไว้เลยว่า…เจ้านายส่วนใหญ่มักจะไม่ปลื้มสักเท่าไหร่ถ้าหากเราไปโฟกัสที่คำว่า “ฉัน” มากกว่าคำว่า “เรา” ซึ่งนายจ้างเขาต้องการคนที่สามารถทำงานเป็นทีมช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ เพื่อทำให้งานออกมาดีและเป็นประโยชน์ต่อองค์กรมากที่สุด

3. ทำให้ตนเองมีความสำคัญ
เราจะต้องทำให้ตนเองเป็นสมาชิกของทีมที่คนในทีมต้องการตัวมากที่สุด และหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดก็คือ การทำงานตัวเองเป็นคนที่มีความสามารถเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกับคนอื่นภายในทีม เช่น การออกแบบ ความสามารถในการต่อรองกับลูกค้า ฯลฯ ซึ่งความสามารถเหล่านี้นอกจากจะเป็นที่ต้องการของทีมงานแล้ว ยังเป็นการแสดงความเป็นผู้นำของตนเองให้ผู้อื่นได้เห็นกันอีกด้วย

4. ต้องเรียนรู้ตลอดเวลา
เราจะต้องแสดงให้เจ้านายได้เห็นว่า เราเป็นคนที่ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ มีความุ่งมั่นที่จะพัฒนาทักษะความสามารถของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ นี้เราสามารถเรียนรู้ได้ทั้งภายในองค์กรและภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการเข้าอบรม งานสมันาต่างๆ ฯลฯ

7 ทักษะของมนุษย์เงินเดือน ที่จะช่วยทำให้เราได้เลื่อนตำแหน่งานได้

5. อย่ากลัวที่จะต้องรับผิดชอบ
สำหรับสิ่งแรกของการเป็นผู้นำ คือการอย่าเอาตัวเองไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองขององค์กรหรือทำพฤติกรรมที่ไม่ดี เช่น มาสาย ส่งงานไม่ทัน ฯลฯ เพราะการเป็นผู้นำที่ดีได้นั้นเราจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีของพนักงาน

6. สร้างสัมพันธ์กับคนที่เหมาะสม
การสร้างสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานทั้งภายในและนอกองค์กร จะช่วยทำให้เราได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีทั้งงานในปัจจุบันและในอนาคต ส่งผลดีทำให้มีคนคอยซัพพอร์ตเราอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นงานภายในหรือนอกองค์กร ทั้งนี้นอกจากจะเป็นการสร้ามสัมพันธ์กับคนในแผนกเดียวกันแล้ว การสร้างสัมพันธ์กับคนนอกแผนกก็เป็นสิ่งที่จะช่วยทำให้เกิดกระบวนการทำงานที่สะดวกและรวดเร็วขึ้นมากอีกด้วย

7. เข้าร่วมกิจกรรมขององค์กรเสมอ
นอกจากที่เราจะตั้งใจทำงานของตนเองให้ออกมาดีแล้วนั้น การมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ขององค์กรก็เป็นสิ่งที่มีความสำคัญเหมือนกัน เพราะมันจะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของตัวเราเองที่มีต่อองค์กร

4 ข้อผิดพลาดทั่วไปในการจัดการการเปลี่ยนแปลงที่ควรหลีกเลี่ยง
Get up-to-date HR insights sent to your inbox
Subscribe
ลองนึกภาพสิ่งนี้: คุณกำลังเปิดตัวเทคโนโลยีหรือระบบใหม่ที่จะทำให้บริษัทของคุณดำเนินไปได้ดีขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น คุณรู้สึกตื่นเต้นกับความเป็นไปได้ที่บริษัทของคุณจะเติบโต

พนักงานของคุณ? ไม่มากนัก.

ด้วยเหตุผลบางอย่าง ไม่ใช่ทุกคนที่มีความกระตือรือร้นที่ดื้อดึงของคุณ อันที่จริง พนักงานบางคนถึงกับแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างเปิดเผย

เกิดอะไรขึ้น?

เป็นไปได้ว่าคุณอาศัยแนวคิดเดิมว่า “สร้างมันขึ้นมาแล้วมันจะมา” และใช้ทรัพยากรของคุณในการพัฒนาการเปลี่ยนแปลง แทนที่จะกังวลเกี่ยวกับการจัดการการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงจะยอดเยี่ยมเพียงใดสำหรับบริษัทของคุณ หากพนักงานของคุณไม่เข้าใจหรือไม่เห็นคุณค่าของการเปลี่ยนแปลง พวกเขาก็คงจะไม่ยอมรับมัน สิ่งสำคัญคือต้องจัดทำแผนการสื่อสารโดยละเอียดก่อนที่จะเปิดตัวการเปลี่ยนแปลงใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการอัปเดตนโยบายการพักร้อนของคุณหรือจัดระเบียบพนักงานขายทั้งหมดของบริษัทใหม่ การเปลี่ยนแปลงคือการเปลี่ยนแปลง และอาจทำให้ไม่สงบ ด้วยการวางแผนเพียงเล็กน้อย คุณสามารถทำให้กระบวนการนี้ราบรื่นสำหรับทุกคน

เข้าใจแนวต้าน
โดยรวมแล้ว ผู้คนมักจะต่อต้านการเปลี่ยนแปลง แต่บางตัวก็ปรับตัวได้ดีกว่าตัวอื่นๆ ในทศวรรษที่ 1960 นักวิทยาศาสตร์ด้านการสื่อสาร Everett Rogers ได้พัฒนาทฤษฎีการแพร่กระจายของนวัตกรรมเพื่ออธิบายว่าบุคคลตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับสาขาการจัดการการเปลี่ยนแปลงในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า นี่คือเวอร์ชันที่เข้าใจง่าย โดยพื้นฐานแล้ว กับกลุ่มพนักงานใด ๆ ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์เป็นผู้เริ่มใช้ มีความยืดหยุ่นและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้ในช่วงแรกมักจะเป็นคนแรกที่ซื้อ iPhone รุ่นล่าสุด พนักงานจำนวนมากที่อยู่ตรงกลางมีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า พวกเขาจะไปกับการเปลี่ยนแปลง แต่สามารถรับหรือปล่อยทิ้งไว้ได้จริงๆ ในอีกด้านของสเปกตรัมคือ 15 เปอร์เซ็นต์หรือมากกว่านั้นของพนักงานที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง พวกเขาจะไม่เปลี่ยนหรือจะทำการเปลี่ยนแปลงเมื่อถูกบังคับเท่านั้น

แต่ละบริษัทมีบุคลิกเหล่านี้ผสมกัน คุณควรพูดถึงพวกเขาทั้งหมดเมื่อสื่อสารถึงความเปลี่ยนแปลง พนักงานที่ทนต่อการเปลี่ยนแปลงต้องการรูป แบบ การสื่อสาร ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง อดีตต้องรู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้นสำหรับพวกเขา วิสัยทัศน์คืออะไร? แผนอะไร? ทำไมพวกเขาไม่สามารถอยู่กับสภาพที่เป็นอยู่ได้? พวกเขาต้องเปลี่ยนจริงๆเหรอ?

เส้นโค้งการเปลี่ยนแปลง
สำหรับข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมว่าการเปลี่ยนแปลงส่งผลต่อพนักงานอย่างไร ให้พิจารณาเส้นโค้งการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นเครื่องมือคลาสสิกของการจัดการการเปลี่ยนแปลง คุณคงคุ้นเคยกับความเศร้าโศกห้าขั้นตอน ได้แก่ การปฏิเสธ ความโกรธ การต่อรอง ความหดหู่ใจ และการยอมรับ ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยจิตแพทย์ Elisabeth Kübler-Ross ในปี 1960 ตั้งแต่นั้นมา โมเดลก็ถูกปรับแต่งเพื่อช่วยอธิบายสิ่งที่ผู้คนต้องเผชิญระหว่างการเปลี่ยนแปลงองค์กร ตัวอย่างเช่น พนักงานของคุณน่าจะประสบกับขั้นตอนต่อไปนี้ในระหว่างการริเริ่มการเปลี่ยนแปลง:

ช็อค (“ฉันไม่อยากเชื่อเลย!”)
ปฏิเสธ (“มันจะไม่ทำงานที่นี่!”)
ความผิดหวัง (มันเป็นความผิดของผู้บริหาร!”)
ภาวะซึมเศร้า (“ฉันยอมแพ้ การเปลี่ยนแปลงกำลังเกิดขึ้นไม่ว่าฉันชอบหรือไม่”)
การทดลอง (“อืม … บางทีเราอาจจะทำให้มันใช้งานได้”)
การตัดสินใจ (“ก้าวไปข้างหน้า”)
การรวมเข้าด้วยกัน (“เราได้ทำการเปลี่ยนแปลงแล้ว ตอนนี้กลับมาทำธุรกิจกัน”)
ทุกคนในองค์กรของคุณจำเป็นต้องหมุนเวียนผ่านขั้นตอนเหล่านี้ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงจะกลายเป็นส่วนที่ราบรื่นในบริษัทของคุณ นอกจากนี้ โปรดจำไว้ว่า คุณอาจอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของเส้นโค้งการเปลี่ยนแปลงแล้ว เมื่อคุณเริ่มทำการเปลี่ยนแปลง คุณได้พูดคุยกันแล้ว ตัดสินใจว่าจะใช้งานอย่างไร และพร้อมที่จะรวมเข้ากับบริษัทของคุณ ในทางตรงกันข้าม พนักงานของคุณอยู่ที่จุดเริ่มต้นของเส้นโค้ง พวกเขาต้องการเวลาและข้อมูลมากขึ้นเพื่อไปยังที่ที่คุณอยู่

ทั้งนี้บริษัทเคแอนด์โอ จึงได้มุ่งเน้นการจัดการแก้ไขปัญหา จัดการเอกสาร ด้านเอกสารขององค์กรมาอย่างยาวนาน และ ให้ความสำคัญกับด้านงานเอกสาร ต่อลูกค้าเป็นอย่างดี จนถึงปัจจุบันก็ได้ความยอมรับจากองค์กร ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็กมากมาย จึงใคร่ขออาสาดูและปัญหาด้านเอกสารให้กับองค์กรของท่านอย่างสุดความสามารถ เพราะเราเป็นหนึ่งในธุรกิจ ระบบจัดเก็บเอกสาร ที่ท่านไว้ใจได้

สนใจรับคำปรึกษาด้านวางระบบจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์  EDMS โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญจาก K&O ที่มีประสบการณ์มากว่า 15 ปี รวมถึงซอฟต์แวร์ระดับโลก ติดต่อ 0 2 – 8 6 0 – 6 6 5 9

หรือ E m a i l : d c s @ k o . i n . t h

ส า ม า ร ถ รั บ ช ม วี ดี โ อ ส า ธิ ต วิ ธี ก า ร ใช้ ง า น จ ริ ง ไ ด้ ที่ นี่

Related Articles